นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ในปี 67 หุ้นกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระทั้งสิ้น 890,908 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น กลุ่มอินเวสต์เมนต์เกรดหรือกลุ่มไม่มีปัญหา 791,322 ล้านบาท สัดส่วน 90% และกลุ่มไฮยีลด์ 99,586 ล้านบาท สัดส่วน 10% แต่จากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ตั้งแต่ปี 66 ที่ต่อเนื่องมาถึงต้นปีนี้ ทำให้ผู้ลงทุนเกิดความเสี่ยงไม่ได้รับผลตอบแทนและเริ่มระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น จึงเชื่อว่าทำให้หลังจากนี้ ผู้ออกหุ้นกู้ต้องทำการบ้านเยอะขึ้น ในการเตรียมข้อมูลให้กับผู้ลงทุน เพื่อให้มีเวลาในการวิเคราะห์สำหรับตัดสินใจ
“การผิดนัดชำระหนี้ที่ผ่านมา เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวในยามที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นมาในระดับสูง และเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ มีปัญหามากมาย ดังนั้น ผลกระทบเหล่านี้ ทำให้นักลงทุนตระหนักมากขึ้นถึงความไม่แน่นอนของการลงทุนไม่ว่าจะเป็นหุ้นสามัญ หรือหุ้นกู้ แต่เชื่อว่านักลงทุนแยกแยะได้ว่าเป็นปัญหาของแต่ละราย และยังต้องวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนอย่างระมัดระวังต่อไป ซึ่งคงไม่ถึงกับทิ้งตลาดไปเลยซะทีเดียว”
น.ส.อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระปีนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอสังหาฯ 157,449 ล้านบาท, ไฟแนนซ์ 152,730 ล้านบาท, พลังงาน 127,395 ล้านบาท, คอมเมิร์ซ 83,216 ล้านบาท และไอซีที 78,130 ล้านบาท โดยมองว่าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีโอกาสเกิดปัญหาผิดนัดชำระได้ทั้งหมด อย่างเพ่งเล็งเฉพาะอสังหาฯ เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งเห็นได้จากปี 66 ที่ผ่านมา ทั้งหุ้นกู้สตาร์ค และเจเคเอ็น ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมอื่นยังเกิดปัญหาได้เช่นเดียวกันคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 66 มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ 16.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% ประกอบด้วยมูลค่าคงค้างหุ้นกู้เอกชนรวม 4.5 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพลังงานที่มีมูลค่าคงค้างมากที่สุด ตามด้วยไฟแนนซ์ อสังหาฯ คอมเมิร์ซ และไอซีที โดยจำนวนดังกล่าวมีนักลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทย 9.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.7% ลดลงจาก 1.08 ล้านบาทในปี 65 แต่เมื่อเทียบกับตลาดรวมแล้ว ยังไม่น่ากังวล เพราะสัดส่วนการถือครองน้อย ขณะที่มูลค่าคงค้างหุ้นกู้ที่มีปัญหาหรือต้องการยืดหนี้มูลค่ารวม 39,412 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระปี 66 มูลค่ารวม 16,363 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 67 นี้ คาดว่าการออกหุ้นกู้เอกชนจะเริ่มทรงตัวหรือลดลงอยู่ที่ปะมาณ 0.9-1 ล้านล้านบาท จากปี 66 ที่ออกหุ้นกู้ระยะยาวทั้งหมดประมาณ 1,018,690 ล้านบาท เป็นกลุ่มอินเวสต์เมนต์เกรด 926,713 ล้านบาท และกลุ่มไฮยีลด์ 91,977 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าบริษัทเอกชนขนาดใหญ่จะชะลอออกหุ้นกู้เพื่อรอดูท่าทีสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยก่อน เห็นได้จากการโรลโอเวอร์หรือออกหุ้นกู้รุ่นใหม่ เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เก่าเริ่มมีมูลค่าลดลง จากปกติจะออกหุ้นกู้ใหม่ในมูลค่าสูงขึ้นทุกปี